=วิธีสอนที่ดีคือ…อย่าสอน= (อ้าว…แล้วทำไงล่ะ?) โดยครูแหลม

วิธีสอนที่ดีคือ อย่าสอน การสอนแบบไม่สอน ทำให้เขาเกิดเรียนรู้ด้วยตัวเอง

พ่อแม่ ของ ครูแหลมท่านมักจะทำให้ดูครับ ท่านจะไม่สั่งสอน แต่ท่านทำให้ดูก่อน แล้วอธิบายทีหลังหรือบางครั้งท่านก็นิ่งๆ ให้เราคิดเอาเอง
แค่ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษา นี่ละครับ ชายด์เซ็นเตอร์ (Child Center)ให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ครูทุกคนต้องรู้ว่าเด็กแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร เปลี่ยนมาเป็นสอนว่า พฤติกรรมของเด็กคนนี้เป็นแบบนี้ ต้องพูดจาด้วยภาษาแบบของเขา แล้วให้เขาทำแบบที่เขาถนัด

…..การสอนแบบไม่สอน ทำให้เขาเกิดเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ ก่อนจะสอน หรืออธิบายต้องให้ไปดูของจริง อธิบายเรื่องจริงๆ ทำไมจึงมีสงคราม ที่ทำให้ผู้คนตายมากมาย ตอบง่ายๆ…เพราะเขาไม่รักกัน แล้วทำไมทุกเทศกาล เช่นปีใหม่…มีคนตายจากอุบัติเหตุมากมาย ตอบง่ายๆ…เพราะเขา ประมาท เด็กเข้าใจ ทำไมเลย เพราะเราสอนจากของจริง จากรากเหง้าของปัญหา คุณพ่อคุณแม่เอาเหตุการในปัจจุบัน มาสอน หรือตั้งคำถาม แล้วให้เด็กๆไป ค้นคว้าหาคำตอบ เด็กๆจะสนุกกับการเรียนรู้ครับ
…..พ่อแม่สอนไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า เนี่ยผิด? ครูแหลมสอนว่าคุยได้ เพราะคนเรามีความรัก-มีเมตตา และเรามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับทุกๆ คน เด็กๆก็จะเปิดหัวจิตหัวใจ ฉลาด และรอบรู้ แล้วจะเกิดการ เรียนรู้ว่าใครมาดี ใครมาร้าย
ไม่ว่าผิวคนละสี นับถือศาสนาอะไร ยากดีมีจนอย่างไร เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา …แต่ถ้าเขาชวนไปไหน? อย่าไป!!! เอาอะไรให้ทาน? อย่าทาน!!!
…..ศิลปะเป็นสื่อ แต่เราต้องสอนทั้งหมด มันเป็นเรื่องยากนะ ในการ สอนให้คนมีความสุข เราต้องเข้าใจทั้งหมด

ไม่ใช่เขียนรูป หรือ ทำงานศิลปะแค่นั้นแล้วมีความสุข แต่ต้องสอนให้เขาคิดเป็นก่อน ถึง ได้มาทำโรงเรียนศิลปะ เพื่อจะแก้ปัญหาให้คนคิดออก คิดเป็น ให้วิตามิน แก่ใจครูแหลมทำงาน เพราะมีฉันทะ ในสิ่งที่ทำ แล้วจะชอบเอาธรรมะสอดแทรกในการเรียนการสอนทุกครั้ง โดยที่เด็กๆรู้ตัวมั่งไม่รู้ตัวมั่ง …..เราเชื่อในเรื่องการเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีหนังสือคือครู และหนังสือนี่เองที่พาเราก้าวสู่การเรียนรู้ปรัชญาของชีวิต และอย่ายึดถือ ยึดติดกับหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันนั้นๆ …..จะเห็นได้ว่าโลกเราวุ่นวายมาก เป็นอย่างนี้ เพราะเรายึดติดนะครับ ทุกวันนี้เขาเข่นฆ่ากัน เพราะเราไปยึดกับสิ่งใด สิ่งหนึ่งมากเกินไป เลยทำให้ไม่เข้าใจชีวิต จริงอยู่ที่ทุกคนต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว…มีความเชื่อในสิ่งที่ยึดถือ แต่อย่ายึดติด และงมงาย ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมีบุญคุณกับเราทั้งสิ้น แต่มันต่างกันกับการ เรียนรู้เพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข สงบ สันติ….

สาธิตวาดภาพสีน้ำ
เหมือนกับการเรียนศิลปะนั่นแหละ ภาวะแรกๆ ของการเข้าเรียนศิลปะก็จะยึดติดกับภาพเสมือนจริง พอเขียนไปๆ ไม่เหมือนแล้ว เพราะถูกการคลี่คลายออกไปเรื่อยๆ ทำให้เกิด การเรียนรู้ว่า ศิลปะไม่ใช่เรื่องฝีมือ หรือการทำให้เหมือน ไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นนักลอกแบบ

…..ครูแหลมเชื่อว่าทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยมีสถาบันหรือ องค์กรนั้นเป็นที่รองรับ ไม่อยากให้ไปยึดติดว่าคุณต้องจบสามย่าน จบท่าพระจันทร์ แล้วก็ไปติดกันอยู่อย่างนี้ และครูมั่นใจว่า อีก ๑๐-๒๐ ปีข้างหน้าดีกรีปริญาตรี โท เอก ไม่จำเป็นอีกต่อไป มนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละสาขาต่างหากจะดำรงชีพได้รอด …..ดูอย่าง ปี ๒๕๔๐ เนี่ยก็เก่ง ๆ กันทั้งนั้น แต่ประเทศชาติก็ล่มสลาย ไม่สามารถรอดพ้นจากภาวะวิกฤติ เรามีนักเศรษฐศาสตร์ เก่ง ๆ มาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงของโลก มีใครต่อใครเยอะแยะ แต่ ก็แพ้ในหลวงคนเดียว ซึ่งพระองค์ท่านมีพระราดำรัสตรัสว่า…ทำให้พอเพียง

ภาพในหลวง
ในขณะที่ประเทศทางยุโรปมีนักออกแบบเยอะ จึงไม่ประสบภาวะทางเศรษฐกิจ เพราะเขาคิดค้นใหม่ๆ อยู่เรื่อย ในขณะที่เราเป็นนักลอกแบบ คือผู้ตาม จึงเสียหายอยู่ในทุกวันนี้
ประเทศไทยของเราขาดนักออกแบบ…นักคิด…นักฝัน…นักพัฒนา ลูกหลานของเราเกิดขึ้นทุกวัน แต่เราสอนให้เขาเดินตามก้นฝรั่ง คิดแบบฝรั่ง กินแบบฝรั่ง โดยลืมสีผมของตัวเอง

วาดมังคุด

เมื่อเด็กๆคิด เด็กๆฝัน เราก็ไปว่ามันว่าเพ้อเจ้อ ไปว่ามันว่าเป็นเด็กแนว…ผู้ใหญ่อย่างเราชอบด่าว่าเด็กๆ โดยลืมว่าเราเคยเป็นเด็กมาก่อน

…เราอาจจะลืมไปแล้วว่า เด็กที่เราด่าเมื่อวาน…วันนี้มันมาบริหารประเทศ…

อย่าสอนให้ลูกหลานเราร่ำรวยและมั่งคั่ง จงสอนเหมือนพ่อ…ที่ให้พอเพียง แล้วมีความสุข

ขอบพระคุณมากครับ
=ครูแหลม=

***หมายเหตุ***เอาไว้ครับ

ถ้าเราจะดัดจริตคิดตามฝรั่งเรียกว่า Critical Thinking ก็ไม่ได้เอามาจากไหนครับ ก็มาตามหลักธรรม ของพุทธเรานี่แหละครับ

=โยนิโสมนสิการ= หลักการคิดโดยแยบคาย ครูแหลมยึดหลักนี้มาตลอดครับ โดยเฉพาะกาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล
กาลามสูตร เป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่าง งมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ

มีอยู่ ๑๐ ประการ ได้แก่
๑.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

ขอบพระคุณมากครับ พอดีๆ แต่มีคุณภาพ

น้อยแต่มาก

สอนได้…. แต่อย่าไปครอบงำบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาก ของครูแหลม…เชิญส่งต่อแบ่งปันกันได้เลยครับ ครูแหลมยินดีมาก และจะเป็นกำลังใจในการเขียนบทความดีๆ ต่อไปเรื่อยๆครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์ ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะครับ.

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *